วันศุกร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

Alaska และ สถานที่ท่องเที่ยว

18 ตุลาคม 1867 หรือเมื่อประมาณ 145 ปีที่แล้ว เป็นวันที่อะแลสกาของรัสเซียเข้ามาอยู่ภายใต้การปกครองของสหรัฐโดยสมบูรณ์ โดยในวันนั้น ที่เมือง โนวา - อาร์คานเกลสค์ เมืองหลวงอะแลสกาของรัสเซีย ที่ต่อมาถูกเปลี่ยนกลับมาใช้ชื่อเดิมคือ ซิทก้า ได้มีพิธีส่งมอบคาบสมุทรแห่งนี้ให้กับสหรัฐ

                ตามประวัติเชื่อว่าคนเชื้อสายเอเชียอพยพข้ามช่องแคบแบริ่ง เข้ามาลงหลักปักฐานที่อะแลสการาวเมื่อ 1 หมื่น 2 พันปีก่อน การเข้าไปติดต่อกับคนที่นี่ของชาวยุโรป เกิดขึ้นครั้งแรกในปี 1741 เมื่อ วิตุส แบริ่ง เดินทางไปที่นั่นกับเรือเซ็นต์ปีเตอร์ เพื่อทำการสำรวจให้กับกองทัพเรือรัสเซีย และเมื่อคณะสำรวจกลับออกมา ขนสัตว์จากที่นั่นก็ได้รับการยกย่องว่ามีคุณภาพดีเยี่ยม คณะนักค้าขนสัตว์เล็กๆ จึงเริ่มมาที่อะแลสกา โดยหลักฐานการตั้งหลักฐานของชาวยุโรปที่นี่ว่าเกิดขึ้นในปี 1784

  รัฐอะแลสกามีพื้นที่ทางตะวันออกติดต่อกับดินแดนยูคอนเทร์ริทอรีและรัฐบริติชโคลัมเบียของแคนาดา ทางใต้ติดต่อกับอ่าวอะแลสกาและมหาสมุทรแปซิฟิก ทางตะวันตกติดกับทะเลเบริง ช่องแคบเบริง และทะเลชุคชี ส่วนทางเหนือติดกับทะเลโบฟอร์ตและมหาสมุทรอาร์กติก อะแลสกาเป็นรัฐที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา อะแลสกามีภูเขาไฟอยู่ 41 ลูก ที่อันตรายที่สุดคือภูเขาออกัสติน


สถานที่ท่องเที่ยว (Travel)



แองเคอเรจ (Anchorage)

          แองเคอเรจ เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในอะแลสกา แถมยังเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยความความทันสมัยทั้งทางด้านถนนหนทาง, ห้างสรรพสินค้า และยังเป็นหนึ่งในเมืองที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเร็วที่สุดในอเมริกาด้วย และด้วยจำนวนประชากรที่อาศัยอยู่เพียง 250,000 คน ทำให้มันเป็นเมืองที่ปราศจากความวุ่นวายและเหมาะแก่การเที่ยวพักผ่อนเพื่อสัมผัสบรรยากาศดี ๆ ทว่าใครที่ชอบบรรยากาศแบบคึกคักละก็ ในช่วงฤดูหนาวนั้นแองเคอเรจจะเป็นเมืองยอดฮิตที่คลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวจากทั่วสารทิศ


แฟร์แบงก์และจูโน (Fairbanks and Juneau)

 

         แฟร์แบงก์เป็นเมืองที่มีความสนใจในด้านอาหารการกินซึ่งมีเมนูน่าสนใจให้คุณลิ้มรสได้แบบไม่รู้เบื่อ ที่สำคัญผู้คนยังเป็นมิตรแม้ว่าคุณจะเป็นคนแปลกหน้าที่มาเยือนถิ่นของพวกเขาก็ตาม เพราะพวกเขาพร้อมจะพูดคุยหรือให้คำแนะนำที่ดีสำหรับคุณ ในขณะเดียวกันจูโนก็เป็นอีกเมืองที่น่ามาเยือนสักครั้ง ด้วยทัศนียภาพอันสวยงามที่โอบล้อมไปด้วยภูเขา ป่าไม้ และน้ำทะเล และมันยังเป็นเมืองเดียวในอะแลสกาที่ไม่สามารถเข้าถึงโดยรถยนต์ คุณจึงสนุกไปกับการผจญภัยแบบไร้ขีดจำกัดเมื่อมาเยือนจูโน นอกจากนี้ความเป็นอยู่ของผู้คนที่นี่ค่อนข้างมีคุณภาพดีทั้งในเรื่องการกินการอยู่หรือระบบการศึกษาเอง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเจริญในทุกด้าน มันจึงเป็นอีกเมืองน่าอยู่ในอะแลสกา


โซลดอตนาและเคไน (Soldotna and Kenai)


          โซลดอตนาและเคไนเป็นเมืองที่น่าสนใจซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของอะแลสกา ที่สำคัญยังมีบรรยากาศแบบชนบท หากใครอยากมาสัมผัสกับบ้านนอกของอเมริกาก็มากันได้ที่สองเมืองนี้ นอกจากนี้มันยังขึ้นชื่อว่าเป็นสถานที่ซึ่งเหมาะแก่การผ่อนคลายด้วยการตกปลาแซลมอน และในฤดูร้อนนี่เองที่สองเมืองนี้จะมีแสงแดดเกือบตลอดทั้งวันด้วย ใครที่อยากสัมผัสปรากฏการณ์ธรรมชาติเช่นนี้ก็ถือว่าน่าสนใจ ส่วนคอกาแฟก็เช่นเดียวกัน บรรยากาศของเมืองดีขนาดนี้ แน่นอนว่าร้านกาแฟจึงผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดเพื่อรองรับผู้มาเยือนที่อยากนั่งจิบกาแฟชิล ๆ พร้อมซึมซับบรรยากาศดี ๆ เช่นนี้
         อะแลสกาถือเป็นอัญมณีในอเมริกาที่ประกอบด้วยเมืองน่าอยู่หลายแห่ง โดยเฉพาะบรรยากาศแบบชนบทซึ่งเหมาะแก่การท่องเที่ยวพักผ่อนอย่างแท้จริง แม้จะไม่ใช่เมืองที่มีความหวือหวามากนัก ทว่าคุณเองจะเพลินเพลินไปกับความสวยงามและความเรียบง่ายที่น่าหลงใหลจนอยากกลับมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า


ใบงานที่ 3 : พรบ.คอมพิวเตอร์ 2560


ใบงานที่ 2 : ความรู้เรื่อง Blog

ใบงานที่ 2 : ความรู้เรื่อง Blog


  Blog มาจากศัพท์คำว่า WeBlog บางคนอ่านคำ ๆ นี้ว่า We Blog บางคนอ่านว่า Web Log 
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ทั้งสองคำบ่งบอกถึงความหมายเดียวกัน ว่านั่นคือบล็อก (Blog)

    ความหมายของคำว่า Blog ก็คือการบันทึกบทความของตนเอง (Personal Journal) ลงบนเว็บไซต์ โดยเนื้อหาของ blog นั้นจะครอบคลุมได้ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวส่วนตัว หรือเป็นบทความเฉพาะด้านต่าง ๆ เช่น เรื่องการเมือง เรื่องกล้องถ่ายรูป เรื่องกีฬา เรื่องธุรกิจ เป็นต้น โดยจุดเด่นที่ทำให้บล็อกเป็นที่นิยมก็คือ ผู้เขียนบล็อก จะมีการแสดงความคิดเห็นของตนเอง ใส่ลงไปในบทความนั้น ๆ โดยบล็อกบางแห่ง จะมีอิทธิพลในการโน้มน้าวจิตใจผู้อ่านสูงมาก แต่ในขณะเดียวกัน บางบล็อกก็จะเขียนขึ้นมาเพื่อให้อ่านกันในกลุ่มเฉพาะ เช่นกลุ่มเพื่อน ๆ หรือครอบครัวตนเอง
  มีหลายครั้งที่เกิดความเข้าใจกันผิดว่า Blog เป็นได้แค่ไดอารี่ออนไลน์ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไดอารี่ออนไลน์เปรียบเสมือน เนื้อหาประเภทหนึ่งของบล็อกเท่านั้น เพราะบล็อกมีเนื้อหาที่หลากหลายประเภท ตั้งแต่การบันทึกเรื่องส่วนตัวอย่างเช่นไดอารี่ หรือการบันทึกบทความที่ผู้เขียนบล็อกสนใจในด้านอื่นด้วย ที่เห็นชัดเจนคือ เนื้อหาบล็อกประเภท วิจารณ์การเมือง หรือการรีวิวผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ตัวเองเคยใช้ หรือซื้อมานั่นเอง อีกทั้งยังสามารถ แตกแขนงไปในเนื้อหาในประเภทต่าง ๆ อีกมากมาย ตามแต่ความถนัดของเจ้าของบล็อก
ซึ่งมักจะเขียนบทความเรื่องที่ตนเองถนัด หรือสนใจเป็นต้น
จุดเด่นที่สุดของ Blog ก็คือ มันสามารถเป็นเครื่องมือสื่อสารชนิดหนึ่ง ที่สามารถสื่อถึงความเป็นกันเองระหว่างผู้เขียนบล็อก และผู้อ่านบล็อกที่เป็นกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนของบล็อกนั้น ๆ ผ่านทางระบบ comment ของบล็อกนั่นเองในอดีตแรกเริ่ม คนที่เขียน Blog นั้นยังทำกันในระบบ Manual คือเขียนเว็บเองทีละหน้า แต่ในปัจจุบันนี้ มีเครื่องมือหรือซอฟท์แวร์ให้เราใช้ในการเขียน Blog ได้มากมาย เช่น WordPressMovable Type เป็นต้น  ผู้คนหลายล้านคนจากทั่วทุกมุมโลก หันมาเขียน Blog กันอย่างแพร่หลาย ตั้งแต่นักเรียน อาจารย์ นักเขียน ตลอดจนถึงระดับบริษัทยักษ์ใหญ่ในตลาดหุ้น NasDaq  เมื่อสองสามปีที่ผ่านมา Blog เริ่มต้นมาจาก การเขียนเป็นงานอดิเรก ของกลุ่มสื่ออิสระต่าง ๆ หลาย ๆ แห่งกลายเป็นแหล่งข่าวสำคัญ ให้กับหนังสือพิมพ์หรือสำนักข่าวชั้นนำ จวบจนกระทั่งปี 2004 คนเขียน Blog ก็ได้รับการยอมรับจากสื่อและสำนักข่าวต่าง ๆ ถึงความรวดเร็วในการให้ข้อมูล ตั้งแต่เรื่องการเมือง ไปจนกระทั่ง เรื่องราวของการประชุม ระดับชาติและจากเหตุการณ์เหล่านี้ นับได้ว่า Blog เป็นสื่อชนิดหนึ่งที่ไม่ต่างจาก วีดีโอ , สิ่งพิมพ์ , โทรทัศน์ หรือแม้กระทั่งวิทยุ เราสามารถเรียกได้ว่า Blog ได้เข้ามาเป็นสื่อชนิดใหม่ ที่สำคัญอย่างแท้จริง สรุปให้ง่าย ๆ สั้น ๆ ก็คือ Blog คือเว็บไซต์ ที่มีรูปแบบเนื้อหา เป็นเหมือนบันทึกออนไลน์ มีส่วนของการ comments และก็จะมี link ไปยังเว็บอื่น ๆ  ที่เกี่ยวข้องอีกด้วย
 ที่มา : http://keng.com/2005/09/30/what-is-blog/


ประโยชน์ของบล็อก
ผลการศึกษาจากเว็บไซต์ GotoKnow.org ซึ่งเปิดให้บริการบล็อกเพื่อเขียนบันทึก และมีวัตถุประสงค์เพื่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของกลุ่มคนทำงาน
จากจำนวนสมาชิกที่มากมายทำให้พบว่าบล็อกแห่งนี้ไม่เพียงแต่เป็นพื้นที่ซึ่งเปิดให้บริการเพื่อเขียนบล็อกเท่านั้น แต่ยังเป็นคลังซึ่งใช้เก็บประโยชน์ต่างๆ มากมายอีกด้วย

         
 คลังประโยชน์ของบล็อก
  1. คลังความรู้ มีความรู้มากมายให้ค้นหา ให้อ่านตามความสนใจ
  2. คลังมิตรภาพ เกิดการปฏิสัมพันธ์กันทั้งทางออนไลน์และออฟไลน์จนกลายเป็นมิตรภาพดีๆ
  3. คลังแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ แสดงความคิดเห็น และต่อยอดความรู้ออกไป
  4. คลังแห่งความสุข เป็นที่ระบายความเครียด ช่วยผ่อนคลาย และเพิ่มความสุขในชีวิต
  5. คลังข้อมูล ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการทำงานของสมาชิกที่สำคัญ ช่วยให้เจ้าของข้อมูลสามารถดึงดูดข้อมูลออกมาใช้ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว
  6. คลังเพื่อการฝึกฝน เป็นแหล่งฝึกฝนระบบการคิด ทักษะการเขียน และความสามารถด้านถ่ายทอดข้อมูลความรู้ต่างๆ และยังเป็นแหล่งฝึกทักษะการใช้คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตได้อย่างดีอีกด้วย
  7. คลัง KM ที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่มีผู้เชียวชาญด้านการจัดการความรู้ (KM) มากมาย อีกทั้งสามารถค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับการจัดการความรู้ (KM) ได้ง่ายเพียงแค่คลิก
  8. คลังประชาสัมพันธ์และกิจกรรมงานบุญ เป็นแหล่งประชาสัมพันธ์กิจกรรมดีๆ เพื่อสร้างสรรค์สังคมมากมาย
  9. คลังแห่งองค์กรต่างๆ บางองค์กรเลือกเว็บไซต์ GOtoKnow.org เป็นเครื่องมือเพื่อติดต่อสื่อสารระหว่างกัน
  10. คลังเพื่อนช่วยเพื่อน เมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันทั้งทางออนไลน์ จนเกิดความไว้เนื้อเชื่อใจกัน พบว่าเกิดกระบวนการเพื่อนช่วยเพื่อน ทั้งทางออนไลน์และออฟไลน์ เช่น ช่วยสอนวิธีการใช้งานบล็อก
  11. คลังความรู้ฝังลึก อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า ที่มี่เป็นคลังความรู้ มีสารประโยชน์ต่างๆ มากมายให้เลือกอ่าน และที่สำคัญความรู้ส่วนใหญ่นั้นเป็นความรู้สึกฝังลึกที่ซ่อนอยู่ ในตัวคนทุกคนนั่นเอง ที่นี่จึงกลายเป๋นคลังความรู้ฝังลึกที่ใหญ่มาก และถ้าหากสามารถสกัดความรู้ฝังลึกเหล่านี้ให้กลายเป็นความรู้ชัดแจ้งได้ ที่มี่กลายเป็นคลังแก่นความรู้ได้ต่อไป
          ทั้ง 11 ข้อ เป็นปะโยชน์ที่เกิดจากการสกัดข้อมูลออกมาจากบันทึกจำนวนมาก และแน่นอนว่าประโยชน์ของบล็อกไม่ได้มีเพียงเท่านี้ ยังมีอีกมากมายหลากหลายข้อ ขึ้นอยู่กับผู้ใช้ว่าสามารถนำบล็อกไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้มากน้อยเพียงใดนั่นเอง
                                             ที่มา : http://portal.in.th/blog-km/pages/13338/


KM กับ บล็อก

  หลายปีที่ผ่านมา ถือได้ว่าเป็นยุคเฟื่องฟูของการจัดการความรู้ (KM) ทุกหน่วยงาน ทุกองค์กร ทั้งภาครัฐและเอกชนต่างก็สนใจศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับวิธีการและกระบวนการจัดทำ KM รวมทั้งเครื่องมืออื่นๆ ที่เป็นส่วนหนึ่งของการจัดการความรู้ เช่น เรื่องเล่าเร้าพลัง สุนทรียสนทนาและอื่นๆ เพื่อให้สามารถนำองค์กรก้าวไปสู่การเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้
           นอกจากนี้หลายองค์กรจะได้รับคำแนะนำให้ใช้บล็อกเป็นเครื่องมือเพื่อนำองค์กรสู่การเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้อย่างที่กล่าวไว้ แต่ก็มักจะมีคำถามอยู่เสมอว่า จริงๆ แล้วบล็อกสามารถนำไปจัดการความรู้ได้จริงหรือไม่ บล็อกช่วยพัฒนางาน พัฒนาองค์กรได้อย่างไร และที่ผ่านมายังไม่เคยมีคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างชัดเจนสักครั้ง
           บทนี้จะเป็นการนำเสนอเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการจัดการความรู้ หรื KM กับบล็อก ว่าทั้งสองอย่างนั้นเกี่ยวข้องและสัมพันธ์กันอย่างไร ก่อนเปิดอ่านบทต่อไปขอเครียมความพร้อมอีกสักนิดด้วยการให้ผู้อ่านจินตนาการว่า
  • เว็บไซต์ GotoKnow.org เปรียบได้กับองค์กร หรือ หน่วยงานที่ผู้อ่านได้ทำงานอยู่ร่วมกัน
  • บล็อกเกอร์ทุกๆ ท่าน ในเว็บไซต์แห่งนี้ เปรียบได้กับคนทำงานในหน่วยงานเดียวกัน เป็นเพื่อร่วมงานที่ต้องพบเจอกันทุกวัน อาจจะเคยพูดคุยกันเป็นประจำ ปรึกษาหารือ และแลกเปลี่ยนสิ่งต่างๆ มากมาย หรืออาจจะไม่พูดคุยกันเลย หรืออาจจะเพียงแค่ทักทายกันบ้างเป็นบางครั้ง หรืออาจจะเป็นเพียงแค่เห็นหน้า หรือบางคนอาจจะไม่เคยรู้จักกันเลย
  • หากผู้อ่านท่านใดเคยทำกิจกรรมสุนทรียสนทนา กิจกรรมเรื่องเล่าเร้าพลัง หรือกิจกรรม AAR มาบ้างแล้ว ให้จินตนาการต่อไปว่วันนี้ท่านได้เฟลี่ยนกิจกรรมเหล่านั้นจากการทำในลักษณะ face to face ที่ได้เจอตัวจริงของผู้เข้าร่วมกิจกรรม มาเป็นการทำกิจกรรมเดียวกันแต่ทำผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ ผ่านเครื่องมือสื่อสารที่เรียกว่าบล็อก ผ่านการถ่ายทอดเป็นหนังสือแทนคำพูด
          เมื่อจินตนาการมาถึงตรงนี้ขอให้ผู้อ่านจดจำจิตนาการเหล่านี้ไว้ เพื่อนำไปใช้ยังการอ่านบทต่อไป แต่สำหรับผู้อ่านท่านใดที่ยังไม่เคยทำกิจกรรมที่กล่าวมาเลยก็ไม่เป็นไร เพราะสามารถเริ่มเรียนรู้และจินตนาการตามไปพร้อมๆ กันได้
          เมื่อพร้อมแล้วอย่ารอช้าขอเชิญก้าวสู่โลกของการจัดการความรู้ผ่านบล็อกในบทต่อไปของหนังสือ บล็อก:เครื่องมือเพื่อการจัดการความรู้

                                          ที่มา : http://portal.in.th/blog-km/pages/keyword/blog/

วิธีการสร้างบล๊อก ด้วย blogspot ง่ายๆ



1.ให้เราทำการพิมพ์ในช่อง URL ด้านบนว่า www.blogspot.com หรือการเข้าสู่เว็บ blogspot นั้นเอง ตามภาพด้านบน
2.ก็จะได้หน้าตาเป็นแบบนี้ให้เราทำการล๊อกอินเข้าไป โดยใช้ Gmail ของเรา


3.พอทำการล๊อกอินเสร็จก็จะได้หน้าตาเป็นแบบนี้ให้ทำการคลิกที่ บล๊อกใหม่
4.พอมาถึงหน้านี้
  – ในช่องหัวข้อ ให้เราทำการตั้งชื่อหัวข้อของบล๊อกของเรา(เรื่องที่เราจะเขียนบล๊อก หรือ Title)
  – ในช่องที่อยู่ ให้เราทำการตั้งชื่อ URL ของเรา อาทิเช่น gunoob.blogspot.com , cnx-it.blogspot.com เป็นต้น (.blogspot.com จะมาการเติมให้โดยอัตโนมัติ ให้พิมพ์แค่ gunoob หรือ cnx-it)
  – ในช่องแม่แบบ ให้เราทำการเลือก รูปแบบของบล๊อกหรือ Theme นั้นเอง (แนะนำให้ใช้แบบง่าย ธีมสามารถเปลี่ยนภายหลังได้)
5.จะได้อกมาเป็นแบบนี้ให้ทำการคลิกเข้าไปเลย (ของผมได้ทำการสร้างใว้ก่อนแล้ว)
6.จะได้หน้าต่างเป็นแบบนี้ให้ทำการคลิกที่ บมความใหม่ เพื่อทำการเขียนบทความหรือ blog
7.พอได้หน้าตาแบบนี้ให้เราทำการเขียนบล๊อก หรือบทความที่เราต้องการได้เลย
– ในช่องโพสต์ด้านบนตัวหนังสือสีส้ม ให้เราทำการเขียนหัวข้อหรือหัวเรื่อง บทความที่เราต้องการเขียน
– การเขียนบทความ ข้อมูล หรือบล๊อกนั้นสามารถทำการเขียนได้ใช้ กระดาษ ตรงกลางหน้า
– ด้านขวามือจะมีป้ายกำกับ ให้เราทำการคลิกเพื่อพิมพ์ คำ ที่ผู้อื่นสามารถค้นบทความของเราเจอได้
– การใส่ลิ้งให้ทำการคลิกที่ ลิ้ง ในแทบเครื่องมือ เพื่อทำการใส่ URL ที่เราต้องการลิ้ง
– การใส่รูปภาพ สามารถทำได้โดยการคลิกที่ แทกรูปภาพ ด้านขวา ลิ้ง ในแทบเครื่องมือ แล้วทำการเลือกไฟล์เพื่ออัพโหลดรูปภาพแล้ว คลิกรูปภาพที่ต้องการเลือก แล้วกดเพิ่มรายการที่เลือก
– ถ้าทำการเขียนบทความเสร็จ ให้ทำการคลิกที่ เผยแพร่ เพื่อทำการเผยแพร่บทความที่สามารถให้ผู้อื่นได้อ่าน หรือเข้าชมได้
8.การเปลี่ยนธีม ตามที่เราต้องการ ให้ทำการคลิกที่ แม่แบบ จะมีให้เราเลือกธีมตามที่เราต้องการ ถ้าจะเอาอันไหนให้ทำการคลิก แล้วกด ใช้กับบล๊อก(ปุ่มสีส้ม)เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จ (ธีมเราสามารถออกแบบเองและทำเองตามที่เราต้องการได้)


วีดีโอประกอบการตกแต่ง Blog